
เก๋ากี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Chinese Wolberry และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lycium barbarum หรือบางตำราเรียกทับศัพท์ว่า โกจิเบอร์รี่ (Goji Berry) จัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี่ ลักษณะต้นเป็นพุ่มไม่สูงมาก มีสายพันธุ์ประมาณ 70 - 80 สายพันธุ์ มีสีแดงจัด ลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงเข้มเหมือนเลือด จึงมีอีกชื่อในภาษาจีนว่า "ฮ่วยกี้" หรือ "โก๋วฉีจึ" (枸杞子) ในบ้านเรานิยมใช้อยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ Lycium barbarum มีลักษณะสีแดงเม็ดเล็ก อมเปรี้ยวกว่ามักใส่ในซุปไก่ตุ๋น เรียกว่า "เก๋ากี้จีน" ส่วนอีกหนึ่งสายพันธุ์คือ Lycium chinense สีแดงเข้มและเม็ดใหญ่กว่าหวานมากกว่า ไม่เปรี้ยว มักใสในชา เป็นขนมเคี้ยวเล่นและใส่ในของหวาน เรียกว่า"เก๋ากี้ฮ่องกง"
เก๋ากี้นั้นมีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย เพาะปลูกและเติบโตได้ดีในแถบประเทศจีนตอนเหนือ เพราะมีอากาศเย็นและสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นบริเวณเทือกเขา ผลของเก๋ากี้มักจะสุกในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ชาวจีนจะนิยมเก็บผลมาตากแห้ง จึงสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายตลอดจนนำมาแปรรูปเป็นชาชงดื่ม สำหรับศาสตร์การแพทย์แผนจีนเก๋ากี้ถูกใช้ในตำรายาจีนมานานกว่า 2,000 ปี ระบุไว้ว่า เก๋ากี้เป็นผลไม้ที่นำมาทำเป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด มีรสหวาน มีฤทธิ์เป็นกลางไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป และไม่มีพิษ ยาอายุวัฒนะในตำราจีน ฤทธิ์ของเก๋ากี้ช่วยบำรุงเส้นลมปราณตับ ไต กระเพาะอาหาร และบางตำรา ปอด มีสรรพคุณช่วยบำรุงให้ชุ่มชื่น ช่วยบำรุงสายตา สามารถป้องกันและรักษาอาการตาแห้งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แพทย์จีนส่วนใหญ่นิยมใช้บรรเทาและรักษาอาการของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในตำรายาจีนมีข้อมูลว่าเก๋ากี้ช่วยบำรุงร่างกายของเพศชายได้ดี
8 ประโยชน์ของเก๋ากี้ ผลไม้มหัศจรรย์
1. วิตามินเอสูง งานวิจัยจากหลายสถาบันพบว่า เก๋ากี้อุดมไปด้วยวิตามินเอสูง เมื่อเทียบปริมาณวิตามินเอต่อน้ำหนักพบว่า เก๋ากี้มีสูงมากกว่าเบอร์รี่ชนิดอื่น ๆ วิตามินเอเป็นส่วนประกอบสำคัญในจอประสาทตา มีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา ช่วยลดความเสี่ยงของอาการตาบอดกลางคืน (Night Blindness)
2. แคลเซียมสูง เก๋ากี้มีแคลเซียมสูงกว่าบรอกโคลี สามารถช่วยบำรุงมวลกระดูกให้แข็งแรง และยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงและมีและกล้ามเนื้อ
3. ฤทธิ์เป็นกลาง แปลว่า สรรพคุณอยู่ตรงกลาง ไม่ร้อนไม่เย็นสามารถกินเยอะเท่าไรก็ได้ ไม่ทำให้ร่างกายเสียสมดุล แต่ต้องกินเยอะหน่อยเพื่อให้ได้ปริมาณที่จะเอาไปใช้เป็นยา ถามว่าปริมาณที่ใช้เป็นยาต้องกินเท่าไร ถ้าสมมติเราอยากให้บำรุงสายตาต้องกินประมาณ 1 กำมือ หยิบมาได้เท่าไรอยู่ในอุ้งมือ ก็จะประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ 15 กรัม ประมาณนั้นต่อวัน ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ เก๋ากี้ก็เลยกลายเป็น อาหาร เป็นชา เป็นขนม ระดับความปลอดภัยของเก๋ากี้คือ ระดับอาหารในตำรับยาจีน (Food Level) ถือว่าปลอดภัยมาก ส่วนใหญ่ถ้ากินเยอะเกินไปก็แค่ระบายดี ท้องหายผูก
4. เป็นยาระบายอ่อน ๆ สมมติว่ากินเยอะหน่อย เก๋ากี้ขายถุงใหญ่ถุงหนึ่งหนัก 1 กิโลกรัม กินสักครึ่งกิโลกรัมก็อาจจะมีแค่ถ่ายออกมาเยอะ แต่ไม่ใช่แบบท้องเสียติดเชื้ออะไร เป็นเพราะเก๋ากี้มีกากใยสูง ที่สำคัญคือ
ไม่มีการกินเกิน (Overdose) ใด ๆ แล้วร่างกายเราเองต่อให้กินวิตามินเอเยอะ เราก็จะดูดซึมเท่าที่จะใช้
5. บำรุงไต ด้วยความที่ต้นเก๋ากี้มีหลายสายพันธุ์หลากสี แต่ว่าแผนจีนจะเลือกเอาสายพันธุ์สีแดงสด สีแดงคล้ำ ไปจนถึงสีเกือบดำมาทำยาจีน เพราะถือว่าสีที่แดงเข้มจะมีธาตุเหล็กเยอะ ฉะนั้นเก๋ากี้สีแดงจึงบำรุงเลือด บำรุงตับ บำรุงหัวใจ บำรุงไตบำรุงของเหลวจำเป็นในไตที่เรียกว่า Jing, จิ้ง (精) คือถ้าไตมีจิ้งเก็บไว้เยอะก็จะทำให้อายุยืน เก๋ากี้ก็เลยถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะแล้วหน้าตาเม็ดเก๋ากี้ก็จะคล้าย ๆ ดวงตาของเรา รูปร่างเหมือนดวงตา ทางแผนจีนก็บอกว่าจะช่วยเรื่องบำรุงดวงตา ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์แล้วว่าเก๋ากี้บำรุงดวงตา เพราะมีวิตามินเอเยอะ ช่วยทำให้เห็นกลางคืนได้ดีขึ้น ถ้าขาดวิตามินเอ กลางคืนจะมองไม่ค่อยเห็น
6. บำรุงปอด สำหรับปอดที่ไม่ค่อยแข็งแรง อาการไอแห้ง ๆ มายาวนาน ไม่ค่อยมีแรงไอ ลักษณะไอเบา ๆ แต่เป็นนาน
7. บำรุงเลือด จากการที่มีธาตุเหล็กสูง เก๋ากี้ก็จะบำรุงเลือดเวลาบำรุงเลือดได้ดีทางแผนจีนจะถือว่าบำรุงตับแบบแผนจีนซึ่งเป็นที่เก็บเลือดไปด้วย การที่ตับแบบแผนจีนดี ทำให้การเดินของเลือดและประจำเดือนเป็นปกติ ร่างกายแข็งแรง
8. บำรุงระบบประสาท เพราะมีวิตามินบี 1 บี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Ribolavin) วิตามินซีสูง ช่วยให้มีแรง มีพลังงานระหว่างวันต้านอนุมูลอิสระได้สูง ทำให้ไม่ค่อยเพลียเวลาทำงาน
สารพัดเมนูจากเก๋ากี้
ตากแห้งแล้วนำมาชงเป็นชาดื่ม โดยใช้น้ำร้อนประมาณ 90 องศาเพื่อไม่ให้น้ำร้อนเกินไปแล้วไปทำลายวิตามินเอและวิตามินซี
มิกซ์เบอร์รี่ผสมในโยเกิร์ต กินเป็นอาหารเช้าโดยเพิ่มในข้าวโอ๊ต ซีเรียลอาหารเช้าแบบฝรั่ง
กินเป็นของว่างแทนขนมขบเคี้ยว จะหนึบๆ อร่อยเหมือนแคนดี้หรือแครนเบอร์รี่ตากแห้งค่ะ จะใส่ปนกันเป็นถุงไว้กินตอนเดินเล่น เดินป่า หรือกินเป็นสแน็ค ถือเป็นของว่างที่มีประโยชน์
ผสมในน้ำซุปตุ๋นกับผัก ซุปทั่วไปถ้าอยากให้น้ำซุปหวานนิด ๆ อมเปรี้ยวหน่อย ๆ ใช้ตัดมันตัดเลี่ยนได้ด้วย ก็จะใส่ตอนทุกอย่างต้มเสร็จหมดแล้ว พอปิดไฟค่อยใส่เก๋ากี้ เพื่อที่ว่าวิตามินเอวิตามินชีจะได้ไม่สูญหายไป เวลาใช้ใส่ประมาณ 1 ช้อนชา - 1 ซ้อนโต๊ะ หรือจำนวน 5 - 15 กรัม
ผสมปั่นในเครื่องดื่มสมู้ตที เดี๋ยวนี้มีการพัฒนาสูตรสมัตทีมากมายเพื่อเพิ่มประโยชน์ โดยนำเก๋ากี้มาใส่ผสมปั่นหรือใช้โรยหน้าสมู้ตทีแก้วโปรดได้เช่นกัน
ผสมในพายหรือเค้ก สำหรับฝรั่งนิยมนำเก๋กี้ไปใส่แป้งเค้กหรือพายเพื่ออบให้เป็นเนื้อเดียวกัน
Energy Bar ในกลุ่มคนออกกำลังกายมักผสมกับน้ำผึ้งและธัญพืช อบทำเป็นขนมแห่งกินเป็นของว่างระหว่างมื้อ
แหล่งที่มา
ศรันยา สาครินทร์. (2564, มกราคม). ไขความลับ “เก๋ากี้” ยาอายุวัฒนะในตำราจีน. ชีวจิต, 23(534), 40-41.