
การปรับตัวในวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ซึ่งหมายถึง ความผิดปกติใหม่ เราจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น และควรปฏิบัติให้เป็นนิสัยตามหลักธรรมชาติ แต่เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป เราจึงมี “พฤติกรรมการดำเนินชีวิตและการรับประทานอาหารผิดหลักธรรมชาติ” ประกอบกับเมื่อเราอายุมากขึ้น อวัยวะทุกส่วนของร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลง เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป จึงกระตุ้นให้อวัยวะที่มีหน้าที่ในการนำคอเลสเตอรอลไปใช้เสื่อมสภาพลง นำคอเลสเตอรอลไปใช้ได้น้อยลง ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับระดับคอเรสเตอรอลในเลือดให้สูงขึ้น จนสามารถนำคอเรสเตอรอลไปใช้ได้อย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดภาวะระดับไขมันในเลือดผิดปกติ ซึ่งถือเป็นโรค NCDs ที่คน ทั่วโลกเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง ดังนั้นเราควรยึดหลักสำคัญ 5 ประการ เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ นั่นคือ “HDL-C สูงขึ้น Tri ต่ำลง และ LDL-C ต่ำลง” ดังนี้
1. ละวางความเครียด
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า เมื่อเกิดความเครียดขึ้นทั้งทางจิตใจและร่างกาย จะทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติชิมพาเทติกทำงานมากขึ้น ฮอร์โมนอะดรีนาลีนจากต่อมหมวกไตถูกปล่อยออกมามากขึ้น ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ร่างกายจะเร่งสร้างไขมันตัวร้ายไตรกลีเซอไรด์ (Tiglyceride) และแอลดีแอลคอเลสเตอรอล (LDL-C) มากขึ้น พร้อมทั้งลดการสร้างเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL -C) ซึ่งเป็นไขมันดีลง เลือดเป็นกรดมากขึ้น ภูมิต้านทานโรคลดลง ภูมิแพ้รุนแรงขึ้น แพ้ภูมิตัวเองมากขึ้น เซลล์มะเร็งแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น ร่างกายถูกกระทำให้เสื่อมโทรมลง ทุกอวัยวะ เราจึงควรละวางความเครียด พยายามจัดการกับอารมณ์เชิงลบ กล้าเผชิญกับปัญหาอุปสรรคและทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
คนไทยเราในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพโดยไม่ต้องออกกำลังกาย จึงขาดการออกกำลังกาย เพราะคนเราส่วนใหญ่ชอบความสบาย ไม่ชอบความเหนื่อยจากการออกกำลังกาย ถึงแม้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพในทางการแพทย์พบว่า “การออกกำลังกายที่ดีจะต้องทำให้เหนื่อยมากพอที่หัวใจจะต้องเต้นเร็วขึ้น 30% และต้องคงภาวะความเหนื่อยให้ต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 30 นาที” จึงจะเกิดภาวะ “แอโรบิกเอ็กเซอร์ไซส์” ผลที่ร่างกายจะได้รับคือ หัวใจแข็งแรงขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจจะช้าลง แต่จะเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้มากกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ผลดีอื่นที่ตามมาคือ ความดันโลหิตที่สูงจะลดลง ไขมันร้ายในเลือดลดลง ไขมันดีเพิ่มขึ้น รวมทั้งโรคภูมิแพ้และโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ดีขึ้น ภูมิต้านทานโรคสูงขึ้น และสภาวะเลือดเปลี่ยนจากกรดเป็นด่าง
3. รับประทานผักสดและผลไม้สดเป็นอาหารหลัก
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า สิ่งที่ผักสดและผลไม้สดแตกต่างจากเมนูที่ปรุงสุก เพราะมีสารสำคัญ 2 ชนิดที่ไม่ถูกทำลายคือ วิตามินซี (Vitamin C) และเอนไซม์ (Enzyme)
ประโยชน์ที่วิตามินซีมีต่อสุขภาพของคนเรา คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงต่อต้านความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารยืดหยุ่น คือ คอลลาเจนและ อิลาสติน โดยเฉพาะที่ผิวหนัง หลอดเลือด ข้อต่าง ๆ และกระดูก ทำให้คงความยืดหยุ่นของร่างกายไว้ได้นาน ทำให้แก่ช้าและอายุยืน รวมทั้งเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค และต้านทานมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง
เอนไซม์เป็นสารประกอบโปรตีน มีหน้าที่ในการควบคุมกระบวนการทางชีวะเคมีในร่างกายทุกขั้นตอน ในร่างกายคนเรามีเอนไซม์มากกว่า 2,700 ชนิด เพราะคนเรามีร่างกายที่ชับซ้อนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น การย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร การขจัดสารพิษในร่างกาย การซ่อมแชมร่างกาย การสร้างร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ ต้องใช้เอนไชม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาและเป็นตัวควบคุม ถ้าขาดเอนไซม์ กระบวนการต่าง ๆ ที่กล่าวมาจะไม่สามารถดำเนินการได้
การรับประทานอาหารสดที่ไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน ทำให้เราได้เอนไชม์จากอาหารสูง การซ่อมแซมร่างกายจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ต้องทำให้ละเอียดก่อนกลืน เพราะการดูดซึมเอนไซม์ ซึ่งเป็นสารประกอบโปรตีนมีความจำเพาะในการดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) เท่านั้น เอนไซม์ในผักผลไม้จะถูกดูดซึมได้ก็ต่อเมื่อผักผลไม้ต้องถูกทำให้ละเอียดมากพอจนปลดปล่อยเอนไชม์ออกมา การปั่นผักและผลไม้ให้ละเอียดจนสามารถปลดปล่อยเอนไซม์ออกมาจึงเป็นทางเลือกเพื่อการฟื้นฟูสุขภาพที่ดี รวมทั้งรับประทานก่อนอาหารอื่นทุกมื้อเพื่อการดูดซึมเอนไซม์จะทำได้สมบูรณ์กว่าการรับประทานหลังอาหาร ทั้งนี้ปริมาณผักสดและผลไม้สดที่รับประทานในแต่ละวัน ควรมีสัดส่วนร้อยละ 50-70 ของปริมาณอาหารประจำวัน และหลากหลายชนิด เนื่องจากผักและผลไม้แต่ละชนิดมีเอนไชม์ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายเราต้องการ ผักและผลไม้แต่ละชนิดจะมีเอนไชม์แตกต่างกัน ถ้าเรารับประทานหลากหลายชนิดจะทำให้ร่างกายได้รับชนิดของเอนไซม์ครบถ้วน
4. การไม่รับประทานน้ำตาล และลดการรับประทานคาร์โบไฮเดรต
เป็นที่ยอมรับกันทุกประเทศทั่วโลกว่า การรับประทานน้ำตาลส่งผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น กระตุ้นให้เกิดภาวะเบาหวาน เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาต่ออวัยวะ ตา-ไต-หัวใจ-สมอง-หลอดเลือดและระบบประสาท ทำให้ตับสร้างไขมันร้าย ทั้งไตรกลีเซอไรด์ (Tri) และแอลดีแอลคอเลสเตอรอล (LDL-C) เพิ่มขึ้น ตับสร้างไขมันดี เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL-C) ลดลง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ปริแตกง่าย นำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด ภูมิต้านทานโรคลดลง เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ร่างกายเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้รวมถึงการลดรับประทานแป้งที่ย่อยสลายได้น้ำตาลในเวลาอันรวดเร็วด้วย หันมาบริโภคแป้งที่เป็นธัญพืชที่ไม่ขัดขาว ทำให้การย่อยเกิดน้ำตาลเพียงเล็กน้อย
5. งดรับประทานไขมันทรานส์
การทอดอาหารด้วยน้ำมันที่เดือด ทำให้โมเลกุลของน้ำในอาหารแตกออกจากความร้อนสูงของน้ำมันที่เดือด ธาตุไฮโดรเจนจากโมเลกุลของน้ำจะเข้าไปเกาะกับธาตุคาร์บอนที่มีช่องว่างตรงตำแหน่งที่ไม่อิ่มตัวของไขมันไม่อิ่มตัวที่นำมาทอดอาหาร ทำให้โมเลกุลของไขมันเปลี่ยนเป็นไขมันที่ผิดจากธรรมชาติดั้งเดิม เกิดเป็น “ไขมันทรานส์” ซึ่งเกิดโทษต่อร่างกายมากมาย ได้แก่
1) ทำให้ร่างกายต้องมาสร้างกระบวนการกำจัดไขมันทรานส์ออกจากร่างกายเพราะไขมันทรานส์ ถือเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายต้องขับทิ้ง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ โดยง่าย
2) ทำให้ตับสร้างไขมันร้ายทั้งไตรกลีเซอไรด์ (Tri) และแอลดีแอลคอเลสเตอรอล (LDL-C) เพิ่มขึ้น
3) ทำให้ตับสร้างไขมันดี เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL-C) ลดลง
4) ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ-หลอดเลือดอุดตันที่หัวใจและสมองได้ง่าย
โดยทางออกของคนไทยที่ต้องการผัดหรือทอดอาหารแล้วไม่เกิดไขมันทรานส์ คือการใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดร้อนในการผัดหรือทอดอาหาร เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวสกัดร้อน เป็นไขมันอิ่มตัวที่ปลอดภัย ไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งต่างจากน้ำมันไม่อิ่มตัวอื่น ๆ
หากเรามีพฤติกรรม 5 ข้อได้แก่ ละวางความเครียด ทำจิตใจให้ผ่องใส ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอรับประทานผักสดและผลไม้สดเป็นอาหารหลัก การไม่รับประทานน้ำตาลและลดการรับประทานคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งงดรับประทานไขมันทรานส์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ “HDL-C จะสูงขึ้น Tri จะต่ำลง และ LDL-C จะต่ำลง” โดยหากปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนของ Tri/HDL-C และ LDL-C/HDL-C จะอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย เป็นการดำเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติให้ร่างกายกลับสู่กระบวนการซ่อมแซมอวัยวะต่าง ๆ ที่เสื่อมสภาพได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ร่างกายหมดความจำเป็นที่จะคงระดับคอเรสเตอรอลไว้ในเลือดที่ระดับสูง ระดับคอเรสเตอรอลในเลือดก็จะลดระดับลงสู่ปกติ แทนการรับประทานยาลดคอเรสเตอรอลระยะยาวที่ส่งผลเสียต่อตับและไต ทั้งยังเป็นการป้องกันและช่วยสลายไขมันที่ไปอุดตันหลอดเลือดหรือไปพอกตับ
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถปรับพฤติกรรมจนระดับไขมันอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย อาจใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นตัวช่วย เช่น อาหารเสริมที่สกัดน้ำจากน้ำมันจากธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อช่วยสลายไขมันที่เกาะตามหลอดเลือดและไขมันที่พอกตับ รวมทั้งเสริมโคเอนไซม์ คิวเทน (CoQ10) เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง สามารถสูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนไปตามหลอดเลือดได้ดี
ข้อมูล: นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์