
ในปัจจุบันนี้การแพทย์ทุกแผนไม่ว่าจะเป็นแผนไทย แผนจีน แผนทางเลือก แผนธรรมชาติ รวมทั้งแผนปัจจุบันที่เราเรียกว่า แผนตะวันตก ต่างยอมรับว่าอาหารที่เรารับประทานมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง ในร่างกายของเรา ซึ่งนายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ใช้เวลากว่า 6 ปีในการรวบรวมความรู้จากแหล่งต่าง ๆ จนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นองค์ความรู้ที่ถูกต้อง โดยแบ่งประเภทอาหารเกี่ยวกับมะเร็งออกเป็น 2 ประเภทคือ อาหารส่งเสริมให้เกิดมะเร็งและอาหารช่วยขจัดมะเร็ง มีรายละเอียดดังนี้
1. ผักและผลไม้สดไม่หวาน
- เพราะ น้ำตาล เป็นอาหารของเซลล์มะเร็ง
- มีสาระสำคัญต่าง ๆ เอนไซม์ วัตถุออกฤทธิ์ทางยา วิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยขจัดมะเร็ง
- ทานอย่างหลากหลายเพื่อเสริมความแข็งแรงของร่างกาย และสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโร
- ทานก่อนอาหารชนิดอื่น และต้องทานในปริมาณมากกว่าอาหารชนิดอื่นในแต่ละมื้อ เพื่อให้การดูดซึมเอ็นไซม์ตรงลำไส้เล็กส่วนต้นดีขึ้น ซึ่งควรมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ถึง 70
2. อาหารที่ให้โปรตีนสูงและสะอาด ไม่เกิดการเน่าเสีย
เห็ดต่าง ๆ
- เห็ดมีโปรตีนสูงมาก เป็นอาหารที่เน่าเสียน้อยที่สุด จึงปลอดภัยที่สุด
- ควรทานเห็ดให้หลากหลายชนิดมากที่สุด เพื่อให้เป็นอาหารขจัดมะเร็ง
ถั่วต่าง ๆ
- ทานถั่วที่สะอาด ไม่มีสารปนเปื้อนใดๆ
- ทำให้สุกด้วยการต้มหรือนึ่ง ไม่นำไปทอดด้วยน้ำมัน
- ถั่วให้ไขมันดีในกลุ่มโอเมก้า 6 ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคและภูมิคุ้มกันมะเร็งสูงขึ้น
- ทานถั่วหลากหลายชนิด เพื่อให้ได้กรดอะมิโนจำเป็นครบทุกชนิด และยังได้วิตามิน แร่ธาตุ ที่ร่างกายต้องการเป็นจำนวนมาก
- ถั่วมีเส้นใยอาหารสูงมาก ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก ทำให้ไม่มีการเน่าเสียของอาหารที่ตกค้างในร่างกาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์มะเร็ง
- ทานถั่วที่สดใหม่ ไม่มีเชื้อราชนิดที่ก่อให้เกิดสารอะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) ซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็งตับ
ไข่ต่าง ๆ
- มีสารอาหารครบถ้วนในการซ่อมแซมและเสริมสร้างร่างกาย
- ไข่ไม่ใช่อาหารที่ต่อต้านเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่ก็ไม่ถึงกับส่งเสริมเซลล์มะเร็ง
- ผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรรับประทานเกินวันละ 1 ฟอง
- ห้ามนำไข่ไปทอดด้วยน้ำมัน เช่น ไข่เจียว ไข่ดาว โดยเฉพาะไข่ลูกเขย ซึ่งนอกจากจะทอดด้วยน้ำมันแล้ว ยังนำไข่ไปชุบน้ำตาลอีกด้วย
เนื้อสัตว์ต่าง ๆ
- เนื้อปลาจะย่อยได้ง่าย เกิดการเน่าเสียน้อยลง
- งดเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวทุกชนิด เพราะ มีอันตรายจากวิธีการเลี้ยงที่มีสารก่อมะเร็งติดมา เช่น สารเร่งเนื้อแดง ฮอร์โมนเร่งการเติบโต ยาปฏิชีวนะ ความเครียดของสัตว์ที่สูงมากในระหว่างการถูกนำมาฆ่า ซึ่งจะก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งจำนวนมาก
3. น้ำมันที่มีฤทธิ์ช่วยขจัดมะเร็ง
น้ำมันมะกอก
- เป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว คือตำแหน่งของธาตุคาร์บอนในโมเลกุลตำแหน่งที่ 9 ยังว่างอยู่
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เป็นแหล่งพลังงานที่ดีให้กับเซลล์ร่างกาย แต่ไม่เป็นพลังงานให้กับเซลล์มะเร็ง
- ควรทานในรูปน้ำมันมะกอกสกัดเย็น น้ำมันสลัด หรือรับประทานด้วยการดื่มโดยตรง ในการปรุงอาหารต้องไม่นำน้ำมันมะกอกมาทอดหรือผัดอาหาร เพราะ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนโมเลกุลเป็นไขมันทรานส์กลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ น้ำมันมะพร้าว
- มีกรดไขมันลอริก เป็นกรดไขมันอิ่มตัวชนิดสายกลาง ซึ่งช่วยในการเพิ่มภูมิคุ้มกนโรคและภูมิคุ้มกันมะเร็ง และมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคได้อย่างกว้างขวาง ทั้งเชื้อรา เชื้อยีสต์ เชื้อ แบคทีเรีย และไวรัส
- เป็นแหล่งพลังงานให้ผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งลดการใช้พลังงานจากกลุ่มแป้งและน้ำตาลลง เพราะเซลล์มะเร็งจะใช้พลังงานจากน้ำตาล ไม่สามารถใช้พลังงานจากน้ำมันได้
- การนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้เป็นอาหาร จะต้องนำมาใช้อย่างถูกวิธี คือ นำมาใช้ในรูปของน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น หรือทานในรูปกะทิสด ห้ามนำน้ำมันมะพร้าวมาทอดอาหารหรือผัด อาหาร ถ้านำมาทำแกงหรือต้มข่าห้ามเคี่ยวข้าววันข้ามคืน ควรทำเครื่องแกงหรือเครื่อง ต้มข่าให้สุกก่อนแล้วจึงใส่กะทิสดลงไป เมื่ออาหารเริ่มเดือดอีกครั้งก็ยกลงจากเตาทันที ควรปรุงรับประทานให้หมดเป็นมื้อๆ ไม่ควรนำไปอุ่นรับประทานหลายครั้ง
3.3 น้ำมันปลา มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ น้ำมันปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย 2 ชนิดคือ
1) กรดไขมันอีพีเอ (EPA: Eicosapentaenoic acid ไอโคซาเพนทาอีโนอิก แอซิด) ช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลตัวดี (HDL) และลดการสร้างคอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) และลดการสร้างไตรกลีเซอร์ไรด์ จึงช่วยให้เส้นเลือดไม่อุดตัน เลือดไม่หนืด เลือดไหลเวียนผ่านเส้นเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี รวมทั้งมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบและต้านเซลล์มะเร็ง
2) กรดไขมันดีเอชเอ (DHA: Docosahexaenoic acid โดโคซาเฮกซาอีโนอิก แอซิด) ทำให้เซลล์สมองแข็งแรง และเพิ่มเส้นสมองให้มากขึ้น น้ำมันปลามีอยู่ในปลาทุกชนิด เมื่อเรารับประทานปลาที่ผ่านการปรุงด้วยการต้มหรือนึ่ง เราจะได้น้ำมันปลาที่ดี แต่ถ้าเรานำปลาไปทอดด้วยน้ำมัน น้ำมันปลาในปลาจะเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งน้ำมัน ทุกชนิดไม่ควรนำมาผ่านความร้อนสูงจนน้ำมันเดือด เพราะจะทำให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลเป็นไขมันทรานส์ทำให้ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) และไตรกลีเซอร์ไรด์ (Tri) เป็นจำนวนมาก ทำให้เส้นเลือดถูกอุดตัน และไขมันทรานส์ยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย
จะเห็นได้ว่าท่านสามารถนำองค์ความรู้ไปเป็นแนวทางในการเลือกรับประทานอาหาร นั่นคือ หยุดรับประทานอาหารส่งเสริมมะเร็ง และรับประทานแต่ขจัดมะเร็งอย่างต่อเนื่อง จะช่วยทำให้ท่านสามารถพิชิตมะเร็งออกจากร่างกายท่านได้ในที่สุด
ที่มา : หนังสือพิชิตมะเร็ง ฟื้นฟูไต ด้วยพลังธรรมชาติเขียนโดย นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์